เครื่องพิมพ์ 3 มิติ FDM กับ SLA แตกต่างยังอย่างไร

เครื่องพิมพ์ 3 มิติ FDM กับ SLA แตกต่างยังอย่างไร

เครื่องพิมพ์ 3 มิติ FMD – SLA คืออะไร แตกต่างกันยังไง

เครื่องพิมพ์ 3 มิติ

เครื่องพิมพ์ 3 มิติ เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยในด้านการออกแบบ การทำต้นแบบต่างๆ ทั้งในวงการการแพทย์ งานทางด้านวิศวกรรม และผลงานทางศิลปะ ทำให้เทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เริ่มเป็นที่ยอมรับ และ เติบโตไปอย่างรวดเร็วในหลายๆปีที่ผ่านมา

ปัจจุบัน เครื่องพิมพ์ 3 มิติไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การสร้างต้นแบบ แต่ยังถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตจริงในหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิตชิ้นส่วนที่ต้องการความแม่นยำสูง การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งยังมีการนำไปประยุกต์ใช้ในการก่อสร้าง เช่น การสร้างบ้านด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติที่ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการก่อสร้าง ในวงการการแพทย์ เครื่องพิมพ์ 3 มิติถูกนำมาใช้ในการสร้างอวัยวะเทียมที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย รวมถึงการพิมพ์ชิ้นส่วนกระดูกเทียม หรือแม้แต่การพิมพ์โครงสร้างเซลล์เพื่อใช้ในงานวิจัยด้านชีวการแพทย์

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาการพิมพ์อาหาร 3 มิติ ซึ่งช่วยสร้างอาหารที่มีรูปทรงเฉพาะหรือเหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดทางโภชนาการ ด้วยความหลากหลายของการใช้งานและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้เครื่องพิมพ์ 3 มิติกลายเป็นเทคโนโลยี ที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตในยุคดิจิทัล และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปในอนาคต

 


โดยในวันนี้เราจะมาเปรียบเทียบความแตกต่างของเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ระบบ FDM กับ SLA สำหรับมือใหม่ที่อยากจะเริ่มต้นใช้งานเครื่องพิมพ์ 3 มิติกัน โดยทั้งสองเครื่องพิมพ์นี้ มีกระบวนการทำงานแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยในระบบFDM จะใช้เส้นพลาสติก (Filament) เป็นวัสดุหลักในการพิมพ์และถูกฉีดเป็นเส้นออกมา ด้วยหัวฉีดทำความร้อน โดยจะถูกวางเส้นซ้อนกันทีละชั้น จนได้ตัวชิ้นงานออกมา โดยประเภทเส้นที่นิยมใช้งานกันเป็นเส้น PLA ซึ่งเป็นวัสดุยอดนิยมที่ใช้งานง่าย เหมาะกับงานต้นแบบทั่วไป หรือ PETG ที่มีความเหนียวแข็งแรงมากกว่า

 

ข้อดีของระบบ FDM

ระบบ FDM มีการออกแบบที่เรียบง่ายและไม่ซับซ้อน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นการพิมพ์ 3 มิติ เนื่องจากการตั้งค่าที่ง่ายและกระบวนการพิมพ์ที่ไม่ซับซ้อน วัสดุที่ใช้ในการพิมพ์ เช่น เส้นพลาสติก (filament) มีราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับระบบพิมพ์ 3 มิติประเภทอื่น สามารถใช้งานวัสดุหลากหลายชนิด เช่น PLA, ABS, PETG และวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น วัสดุที่ทนความร้อน หรือมีความยืดหยุ่น ทำให้ระบบ FDM เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการใช้งานในบ้าน การศึกษา และในอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ต้องการความยืดหยุ่นและประหยัดต้นทุนในการผลิตชิ้นงาน.

 


ส่วนระบบ SLA จะใช้น้ำเรซิ่นเป็นส่วนประกอบ และใช้แสงUV เป็นตัวทำให้เนื้อเรซิ่นเซ็ตตัวขึ้นมาทีละชั้นๆ และ ในตัวของเรซิ่นเองนั้น ก็มีให้เลือกแยกประเภทตามการใช้งานไปอีก เช่น Standard Resin เป็นเรซิ่นที่ใช้ได้ทั่วไป Washable Resin เป็นเรซิ่นที่เหมาะสำหรับเด็กๆ ใช้งาน เพราะเรซิ่นตัวนี้สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำเปล่า ต่างกับตัว Standard ที่ใช้แอลกอฮอร์ เป็นตัวล้าง และยังมีเรซิ่นประเภทอื่นๆอยู่อีกไม่ว่าจะเป็น Nano Resin ที่เหมาะกับงานโมเดล และ Engineering Resin เหมาะสำหรับงานออกแบบทางวิศวกรรม

 

ข้อดีของระบบ SLA

ระบบ SLA ใช้แสงเลเซอร์หรือแสง UV ในการแข็งตัวของเรซิน จึงสามารถสร้างชิ้นงานที่มีรายละเอียดเล็ก ๆ และพื้นผิวเรียบเนียนกว่าเทคโนโลยี 3 มิติประเภทอื่น คือความสามารถในการพิมพ์ชิ้นงานที่มีรายละเอียดสูง เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความประณีต เช่น โมเดลจำลอง ศิลปะ หรืองานทันตกรรมที่ต้องการความแม่นยำ(โมเดลฟันหรืออุปกรณ์จัดฟัน) ระบบ SLA เหมาะสำหรับการสร้างต้นแบบที่ต้องการความสมจริงหรือการผลิตชิ้นงานในปริมาณน้อยที่มีคุณภาพสูง ระบบ SLA จึงได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้งาน ที่ต้องการสร้างชิ้นงานคุณภาพสูง เช่น กลุ่มศิลปิน นักออกแบบ หรือผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง

เปรียบเทียบผลงาน ระบบ FMD กับ SLA

เปรียบเทียบผลงานของ เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ทั้งสองประเภทจะเห็นได้ว่า FDM ตัวโมเดลจะดูมีความเป็นเส้นๆ ไม่เรียบเนียนเท่าตัว SLA ซึ่งเป็นเรื่องปกติของตัว FDM ที่เน้นทำงานง่าย สะดวกรวดเร็ว ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ต่างกับ SLA ที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ต้องการชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบ มีผิวที่เรียบเนียน แต่ต้องแลกมากับเวลา และขั้นตอนของการทำงาน เพียงเท่านี้น่าจะช่วยให้หลายๆคนตัดสินใจได้ว่า สไตส์งานเหมาะกับเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ประเภทไหน