ในอีกสิบปีข้างหน้า หรือปี 2030 ระบบการพิมพ์ 3มิติ หรือ อุตสาหกรรม Additive Manufacturing(AM) จะมีทิศทางเป็นอย่างไง? ทาง 3dprintingindustry.com ได้มีการสัมภาษณ์ ผู้บริหารธุรกิจในสาย AM จำนวนหลายสิบคน ได้ความดังนี้ใน Link นี้ครับ https://3dprintingindustry.com/news/100-3d-printing-experts-predict-the-future-of-3d-printing-in-2030-167623/
ทางเราสรุปเทรนด์ ในอีก 10 ปีข้างหน้าของ AM ไว้ดังนี้
- 3D Printing จะค่อยๆมาแทนที่เครื่องจักรที่อยู่ในปัจจุบัน เช่นเครื่อง injection, CNC แต่ยังไม่สามารถแทนที่ได้ทั้งหมด (ปัจจุบันมูลค่าอุตสหากรรมการผลิตทั่วโลกมากถึง 12 ล้านล้านเหรียญ 3D Printing มีมูลค่าแค่ 1 หมื่นล้านเหรียญ จึงมี Gap ให้โตอีกมาก)
- จะมีบริษัท Start up ที่ผลิตสินค้าของตัวเอง หรือ รับจ้างผลิตเกิดขึ้นอีกมากมาย Scale ของธุรกิจการผลิตไม่จำเป็นต้องเป็นโรงงานใหญ่ๆอีกต่อไป
- การผลิตจาก 3D Printing จะกระจายตัวไปทุกๆที่ โรงงานผลิตจะไม่กระจุกตัวในจีนหรือในประเทศรับจ้างผลิต แต่จะกระจายไปทุกที่ทั่วโลกที่มีกลุ่มประชากรอาศัยอยู่ รวมถึงการผลิตจะกลับไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะต้นทุนค่าแรงลดน้อยลง
- สินค้าที่ขายจะเป็นสินค้า Personalize (ขนาดเข้ากับบุคคลนั้นๆ) มากขึ้น ต่อไปสินค้าบางอย่างไม่มีการ Stock แบบ Physical อีกต่อไป จะมีในรูปแบบ Digital เมื่อมีซื้อจึงมีการผลิต
- สินค้าที่เป็น Mass Production อาจจะให้เครื่องจักรอื่นในการผลิตเหมือนเดิม(ปั๊มของเหมือนๆกันออกมา) แต่ในส่วนของอะไหล่ทั้งหมดน่าจะไม่มีการ Stock โดยจะใช้ 3D Printing ผลิตตามคำสั่งซื้อแทน เพื่อลด inventory cost
- Metal 3D Printer จะเข้ามาปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิต ราคาเครื่องจะถูกลงในอนาคต
CEO, Desktop Metal พูดได้น่าสนใจคับ
Ric Fulop, CEO & co-founder, Desktop Metal
การคาดเดาในอนาคต 3D Printing จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ค่อยเป็นค่อยไป แต่จะไม่ถึงขนาดเพิ่มขึ้นหลายๆเท่าตัวต่อปี การเติบโตเรื่อยนี้จะเป็นไปอีกหลายสิบปี ทางคุณริก เปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้า EV ใครๆก็รู้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ามันดีอย่างไง ทั้งในแง่สิ่งแวดล้อม ความเร่ง และการตอบสนองที่ดี ทุกอย่างดีหมด แต่ตอนนี้การขายรถยนต์ไฟฟ้ายังน้อยมากหากเปรียบเทียบกับรถยนต์พลังงานสันดาป ใครๆก็รู้ว่าสุดท้าย EV จะเข้ามาแทนที่ แต่การจะเปลี่ยนรถยนต์ 500ล้านคันในท้องตลาดมาเป็น EV ยังต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปี
เช่นเดียวกันกับ Additive Manufacturing มีการขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉลี่ยแล้วปีหนึ่งมากกว่า 20-30% โดยในปี 2015 มีมูลค่า 6พันล้านเหรียญ และ 9.8พันล้านเหรียญในปีที่แล้ว
เค้าเชื่อว่าในอนาคตอีก 10ปีจากนี้ สินค้าอย่างน้อย 10% ในท้องตลาดต้องมีส่วนประกอบจาก 3D Printing สรุปเค้าเชื่อมั่นในการมาของ 3D Printing จะมาแทนที่เครื่องจักรหลายๆส่วน และสินค้าในชีวิตประจำวันเราจะผลิตมากจาก 3D Printer