ควันหลงของละครเรื่องพรมลิขิตยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และยังคงส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะการตอบโจทย์เรื่อง Soft Power ซึ่งเป็นคลื่นการเปลี่ยนแปลงโดยที่ผู้รับสารนั้นคล้อยตาม โดยที่ไม่ต้องบังคับหรือมีกฎดกณฑ์ใดๆ และยังคงสอดใส่ความเป็นไทยให้เรานั้น หันกลับมานิยมของไทยตามละครเรื่องนี้กันไปตามๆ กัน และ Dfine ขอเป็นอีกหนึ่งที่ร่วมส่งเสริม Soft Power หรือหลายคนให้คำนิยามว่า “พลังนุ่มนิ่ม” ให้ดังไกลไปทั่วโลกอีกหนึ่งทาง และในวันนี้เราจะเดินทางไปสแกนวัดหนึ่งที่หลายคนพูดถึงในเรื่องความสวยงามและชื่อของวัดยังเป็นชื่อเดียวกันกับวัดที่อยู่ในกรุงเทพมหานครอีกด้วย ซึ่งวัดนั้นก็คือ “วัดภูเขาทอง” โดยวัดภูเขาทอง พระนครศรีอยุธยา ห่างจากพระราชวังหลวงอยุธยาเดิมไปประมาณ 2 กิโลเมตร แม้บริเวณโดยรอบจะเป็นพุทธสถาน แต่วัดภูเขาทองยังเป็นชัยภูมิที่มีบทบาทสำคัญในสงครามไทย-พม่า โดยวัดได้ชื่อตามมหาเจดีย์ภูเขาทองที่มีความสูงถึง 90 เมตร ตามพระราชพงศาวดารอยุธยากล่าวไว้ว่า วัดภูเขาทอง สถาปนาในรัชสมัยพระราเมศวร สมัยอยุธยาตอนต้นในสงครามที่พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่ามีชัยเหนืออยุธยาเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 1 ใน พ.ศ. 2112 พระเจ้าบุเรงนองจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์แบบมอญผสมพม่าก่อทับองค์เจดีย์เดิมของวัดแห่งนี้ เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือทัพไทยเอาไว้ แต่สันนิษฐานว่าคงสร้างได้แต่ส่วนฐานทักษิณ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้ใน พ.ศ. 2127 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเจดีย์แบบไทยไว้เหนือฐานแบบมอญและพม่า จึงมีสถาปัตยกรรมหลายแบบผสมผสานกันอยู่ (ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.trip.com)
โดยองค์ของเจดีย์นั้นเป็นองค์สีขาวบริสุทธิ์ เห็นแล้วหลายคนคงสะดุดตาน่าดู และในครั้งที่แล้วเรามีโอกาศได้ไปสแกนองค์ภูเขาทองที่กรุงเทพกันไปแล้ว และใช้เวลา ไม่เกิน 30 นาที ในครั้งนี้เรามาดูกันครับว่าเราจะใช้เวลาไปทั้งหมดกี่นาที ซึ่งจากการคาดการแล้ว คงใช้เวลาน้อยกว่าที่กรุงเทพแน่นอน เพราะตังองค์เจดีย์มีขาดเล็กแล้วไม่สูงเหมือนองค์ที่กรุงเทพฯ และที่สำคัญในครั้งนี้ทีมงานเราเดินทางไปสแกนแค่คนเดียวเท่านั้น เรามาลอดูกันเลยครับว่าจะสำเร็จตามแผนที่วางไว้หรือไม่
โดยรูปแบบการสแกนนั้นเราจะเริ่มต้นจากโดยรอบฐานล่างจากนั้นจะขึ้นบันไดเพิ่มสแกนด้ายบน เช่นเคยในการสแกนแต่ละชั้นนั้น เราจะเดินสแกนชิดบริเวณระเบียขององค์เจดีย์ ให้มากที่สุด เพราะจะช่วยให้เก็บรายละเอียดพื้นในแต่ละชั้นไปในตัวนั่นเอง ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั่นเอามาชมพร้อมๆ กันเลย
ซึ่งในการสแกนในครั้งนี้นั้นเราสามารถเก็บรายละเอียดขององค์เจดีย์ได้อย่างละเอียดทั้งในเรื่องของความสูง ขนาดฐาน ลำดับขั้นขององค์เจดีย์ ซึ่งข้อมูล Point cloud ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลตรงส่วนนี้เข้าโปรแกรม 3มิติ เพื่อสร้างเป็นไฟล์ BIM ที่เป็นการ Reverse Engineer ได้ และนอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อการสร้างโมเดลจำลองสำหรับการศึกษา และถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญในการบูรณะในอนาคตอีกด้วย
จุดเด่นที่น่าสนใจ
- ประหยัดเวลาในการสแกนจากการสแกนรูปแบบเดิม 10 เท่า
- การสั่นสะเทือนไม่มีผลต่อการสแกน
- ระบายความร้อนได้ดี สแกนไม่ติดขัด
- ดัดแปลงจากรูปแบบเดินถือเป็นรูปแบบอื่นก็สามารถทำได้
- ดูผลแบบ Real Time ทั้ง 2มิติ และ 3มิติ ผ่านสมาร์ทโฟน
จุดที่น่าสังเกต
- ต้องควบคุมความเร็วในการเดินสแกน เพราะอาจจะทำให้โทรศัพท์ส่งข้อมูลไม่ทัน
- ชะลอความเร็วในจุดที่ต้องกาจะเน้นให้ละเอียด
- ควรหาสอยคล้องในกรณีถือสแกน และระมัดระวังให้มากขึ้น